วันพุธที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ปรับย่อ งอขา เพื่อ Cadence

การปรับเปลี่ยนท่าวิ่ง หรือเทคนิคการวิ่ง
     เรื่องของการเคลื่อนที่ไปข้างหน้า หลายคนรู้แล้วว่าจะต้องใช้การเทน้ำหนักไปข้างหน้าเพื่อจะวิ่ง ส่วนต่อไปที่จะทำให้เราสามารถเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้เร็วคือการเคลื่อนไหวส่วนขา
Cadence หรือรอบขาในการก้าว  เป็นส่วนหนึ่งของการวิ่งที่ดี นักวิ่งแนวหน้าจะให้ความสำคัญกับเรื่องสเตปการก้าวเท้า โดยที่ได้ยินมาก็จะอยู่ที่ 180 ก้าว ต่อนาที หลายคนพยายามแล้วแต่ก็ไม่สามาถไปถึงจุดนั้นเสียที
     วันนี้ขอนำเสนอวิธีที่จะเพิ่มความเร็วโดยการใช้ Cadence
สักงเกตุจากเส้นสีขาวช่วงขาจากภาพ สมัยดึกดำบรรพ์เราเห็นว่าร่างกายของมนุษย์เราส่วนที่เป็นขาจะมีการย่อหรืองอในการเดินหรือวิ่ง แต่ปัจจุบันหลังมีสังคมที่เป็นภาพลักษณ์ขึ้นมา มนุษย์ก็ได้ปรับท่าทางการเดินใหม่ ประมาณนายแบบในแคทวอล์คเลยทีเดียว พยายามยืดตัว เหยียดขามากขึ้น
เพื่อให้สูงสง่า ดูภูมิฐานกว่ายุคดึกดำบรรพ์ จนนำท่าเดินเหล่านี้มาใช้ในการวิ่งไปในปริยาย ทีนี้เรามาอธิบายสิ่งที่เราจะประบเปลี่ยนท่าวิ่งของเรากัน

ภาพที่หนึ่ง 
 ยุคดึกดำบรรพ์ สิ่งที่ควรค่ารักษาไว้คือการย่อเข่า งอขา ให้เก็บส่วนนี้ไว้แล้วขจัดออกในส่วนที่เป็นแกนลำตัว หรือ Core body ที่งอ ตามภาพจะเห็นว่าคนลุงยุคหินจะเดินหลังงอ ซึ่งติดมาจากสัตว์บรรพ์บุรุษของเรานั่นเอง

ภาพที่สอง
 กลับกันกับภาพแรก สิ่งที่ควรค่ารักษาไว้คือการรักษาส่วนที่เป็นแกนลำตัว หรือ Core body ที่ตรง ตามภาพ ส่วนที่ต้องแก้ไขคือการยืดขาเหยียดมากเกินไป ให้ปรับมาย่อ งอเข่าเฉกเช่นลุงยุคหิน

ภาพที่สาม เป็นการรวมการย่อเข่างอขาของคุณลุงยุคหินมาประกอบเข้ากับการยืดตัวตรงตั้งแต่สะโพกของนายแบบนิตยสาร เราก็จะได้ท่าวิ่งที่ดูจะตลกๆแบบนี้ แต่อย่าเพิ่งอายไป ลองวิ่งด้วยท่านี้ดู อย่าลืมทิ้งน้ำหนักไปข้างหน้าเพื่อออกตัว
ไม่ใช้การเตะขาเพื่อเคลื่อนที่ไป จำให้ขึ้นใจว่า "ลำตัวต้องไปก่อนขาเสมอ" ขามีหน้าที่มารองรับน้ำหนักตามมา

ผลลัพธ์ที่จะได้ตามมาคือรอบขาคุณจะเร็วขึ้น ยิ่งถ้าสปริงเท้าคุณดีการวิ่งก็จะเพิ่มประสิทธิภาพขึ้นไปอีก สิ่งที่จะได้ตามมา ส่วนของหน้าขา น่อง ก้นคุณก็จะได้รับการฝึกไปในตัวด้วย

ปล.ลองใช้ท่านี้มาซ้อมเดินจะช่วยให้ร่างกายและสมองซึมซับท่าวิ่งนี้ได้ดีขึ้น จะรู้สึกว่าเดินเร็วขึ้น แรกๆจะรู้สึกว่าเมือยหน้าขา ก้นและน่อง กล้ามเนื้อต่างๆจะแข็งแรง ไม่เชื่อลองดู !!!!
   จากคนอ้วน สุขภาพไม่ดี เข้าสู่สังคมนักวิ่ง กลายเป็นส่วนหนึ่งของทีมจัดงานวิ่ง
   มุมมองจากมุมนักวิ่งเสียเงินสมัคร ได้สัมผัส เรียนรู้ระบบการทำงานของทีมจัดงานวิ่งมันไม่ง่ายอย่างมุมมองของนักวิ่ง กับการเปลี่ยนรูปแบบจากนักวิ่งมาเป็นผู้ร่วมจัดงาน 

   งานวิ่ง Ko Kut Run Fun Around งานที่ได้ร่วมทีมทำงาน เป็นที่ปรึกษาให้กับสมาคมการท่องเที่ยวเกาะกูด
งานนี้ได้ประสบการณ์หลายอย่างมากมาย ความอดทน การเรียนรู้ การประสานงาน ความรับผิดชอบ ซึ่งบางครั้งก็อาจทำไม่ได้ดีอย่างที่คาดหวังไว้




หลังจบงานได้เห็นบรรยากาศหลายๆอย่าง ได้เห็นหน่วยงานราชการ อย่างตัวจังหวัด, ททท, อบต. เป็นต้น เห็นคุณประโยชน์ของกิจกรรมการออกกำลังกายครั้งนี้และตอบรับให้การสนับสนุน, ทีมงานของสมาคมทำงานกันอย่างหนัก ทั้งสร้างเวที ซุ้ม, จัดหาอาหาร, จัดปาร์ตี้เลี้ยงต้อนรับนักวิ่งหา อีกทั้งรางวัลมากมายแจกในงาน, ชาวบ้านคนบนเกาะกูดออกมาช่วยเติมแต่งให้งานมีชีวิตชีวา ออกมาตั้งโต๊ะให้น้ำ ส่งเสียงเชียร์ ส่งผลให้นักวิ่งมีรอยยิ้ม สนุกสนาน และที่สำคัญ ผมได้เห็นคนบนเกาะออกมาร่วมวิ่ง ออกกำลังในงาน เป็นภาพที่เราไม่ได้คิดจะเห็น เพราะมัวแต่มองถึงนักวิ่งที่จะมาร่วมงาน

   ผลจากการร่วมงานงานนี้บอกได้เลยว่าสนุก มีความสุขมากเมื่อหันกลับไปมองภาพที่เราได้พบผ่านมา อุปกสรรคที่เข้ามามากมาย ฝนที่ต้อนรับตั้งแต่ขับรถจากกรุงเทพ การทำงานบนเกาะไม่กี่วันแต่ต้องเปียกฝนตลอดการทำงาน เหงื่อที่เปียกโซมกาย ยุงป่าที่มาพร้อมกับฝนคลั่ง 

สารพัดกับสิ่งที่เจอ แต่เพราะสิ่งที่เราทำ มันทำจากความรัก จากหัวใจ ความตั้งใจ และมีเพื่อนร่วมงานที่น่ารัก อดทน เข้าใจ และพร้อมจะลุยไปด้วยกัน 

อุปสรรคนั้นก็ไม่ทำให้เราหวั่น และนำมาซึ่งความทรงที่ประทับใจ และความทรงจำนี้จะอยู่ไปกับเราเสมอ
#KoKutRunFunAround2017 #LoveKoKut #FeeturingTeam #ThNR

วันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

เมื่อธรรมชาติผสมผสานกับเทคโนโลยี


  หลังที่วิ่งเท้าเปล่าจนชินมาถึงเกือบจะห้าปี อุปกรณ์ป้องกันฝ่าเท้าจากของมีคมและสภาพพื้นถนนขรุขระ ที่จะนำมาใช้หรือใส่บ้างก็มีหลักๆแค่ Vibram Fivefingers และก็มีบ้างที่ทดลองวิ่งด้วย รองเท้าแตะทำมือจากน้องในกลุ่ม ไม่ก็หยิบรองเท้าแตะสีชมพู ผลิตด้วยโฟมผสมจากร้านไดโซะ คู่ละ หกสิบบาท มาวิ่ง ซึ่งระยะ 10 กิโลขึ้นไปก็ไม่มีปัญหา แถมฝึกการวิ่งได้ดีอีกด้วย เพราะรองเท้าไม่มีรัดส้น จนมาได้ยินว่ามีถุงเท้าที่สามารถนำมาวิ่งได้เลย โดยจะมีส่วนผสมของผ้ากับเพื่อป้องกันการบาดจากของมีคม หรือสภาพถนนที่ขรุขระได้



   "ถุงเท้า fiber glass" เส้นใยตัวเดียวกับที่ทำสายร่มชูชีพที่ใช้จอดเครื่องบิน F16 เหนียวกว่าเหล็ก 15 เท่า ไม่ขาด 

     หืมมม มันจะมีด้วยหรอ ถุงเท้า มีดกรีดไม่เข้า ความเหนียว แข็งแรง แต่ยืดหยุ่น ได้ยินก็อยากลองแล้ว ได้เห็นคลิปทดสอบแล้วก็อืม ไม่ใช่ไสยศาสตร์ละ มันคือเทคโนโลยี  เทคโนโลยีที่จะมาช่วยให้นักวิ่งเท้าเปล่า หน้าใหม่ ที่อยากวิ่งเท้าเปล่าแต่กลัวโดนของมีคมอย่างเศษแก้ว เศษเหล็กบาด หรือนักวิ่งเท้าเปล่าหน้าเก่าที่อยากวิ่งโดยลดทอนความกังวลขณะวิ่งเพื่อทำความเร็วให้ดียิ่งขึ้น นวัตกรรมตัวนี้น่าจะเข้ามาตอบโจทย์ตรงนี้ได้เลย 




    ทางทีมนักวิ่งเท้าเปล่าของกลุ่มรองเท้าหาย,ชมรม Bangkok Barefoot Run Club (BBRC) และ Thai Natural Run (ThNR) ได้มีโอกาสได้เข้าทดสอบ 
 

 ถุงเท้า "NAZA SOCK Ver.High Modulus รุ่น Demo"  มีพัฒนามาถึงปัจจุบันเป็รรุ่นที่สี่ ซึ่งจริงๆก็ไม่อยากเรียกว่าถุงเท้า แต่ก็ไม่รู้จะใช้คำไหนแทนดี  ถุงเท้ารุ่นที่ผลิตโดยคนไทย แหม่ ได้ฟังแล้วก็ชื่นใจว่าประเทศของเราก็มีบริษัทที่สามารถผลิตสินค้าที่มีเทคโนโลยีทัดเทียมต่างประเทศได้ ทางทีมงานของ NR Nanofiber Sports ก็ใจดี ให้โอกาสนักวิ่งของเราถึง 40 คน ในการเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ การทดสอบในกิจกรรมก็คือการวิ่งใส่ถุงเท้า ในงานวิ่ง Emquatier Together Run 2017 มีสองระยะ 6 และ 10 กิโลเมตร





     เวลา 04:30 น.ทุกคนมารวมตัวกันหน้าบู้ท NR Nanofiber sports ลงทะเบียนเพื่อรับถุงเท้าคนละคู่ มีขนาดให้เลือก สองขนาด จากนั้นก็ถ่ายรูปหมู่ สัมภาษณ์เบื้องต้นเล็กน้อย หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันวิ่งตามระยะที่ตั้งใจจะทดสอบกัน ในวันนี้ผมเลือกทดสอบที่ระยะ 6 กิโล เพราะห่างสนามไปนาน  หลังปล่อยตัวระยะ 10 กฺิโล สิบนาทีก็เป็นเวลาปล่อยตัว เสียงพิธีกรประกาศปล่อยตัว กลุ่มนักวิ่งถุงเท้าเปล่าของเราก็ทะยอยวิ่งออกจากเส้น ยังไม่ทันจะพ้นหน้าห้าง ฝนก็ปรอยลงมาให้หายความอ้าวของอากาศ แต่ก๋ไม่มีผลอะไร กลุ่มเรายังคงวิ่งเล่น คุยไปเหมือนทุกครั้งที่จับกลุ่ม ก่อนจะเลี้ยวเข้าซอยสักพัก เท้าก็ได้รับการกระตุ้นจากสภาพผิวพื้นมะตอยที่หลุดร่อนโผล่มาด้วยเม็ดหินขนาดเท่าหัวนิ้วโป่ง ทักทายกันตั้งแต่ยังไม่พ้นหน้าห้างกันเลยทีเดียว  ถ้านักวิ่งหน้าเท้าเปล่าใหม่ๆผ่านจุดอาจจะมีร้องซี้ดซ้าดกันได้เลย   แต่ถุงเท้า NanoFiber ก็สามารถปกป้องฝ่าเท้าของเราได้ในระดับนึง ลดทอนความโหดร้ายของพื้นถนนไปได้ 5-10% เลย จากนั้นก็วิ่งไปตามทางตามประสาสายเม้า วิ่งไปคุยไป สภาพความอบในถุงเท้าก็มีบ้างเล็กน้อย 


วิ่งไปเรื่อยๆจนถึงสะพานข้ามคลองด้านหลังที่จะทะลุเพชรบุรีตัดใหม่ ก็ถือได้ว่าเป็นบดทดสอบของถุงเท้า รุ่น Demo นี้เลยทีเดียว ว่าจะมีอาการลื่น ท้ายปัดเมื่อขึ้นเนินหรือลงเนินมั้ยย ผลที่ได้คือออออ ผ่านจ้า ลื่นนิดๆ  คือนิดๆจริงๆ ทั้งขึ้นและลงสะะพาน เส้นทางหกกิโลเจอสะพานสองสะพาน ซึ่งถือว่าถุงเท้าตัวนี้ทำได้ดีครับ จากนั้นก็ต่อไปเรื่อยๆจนเข้าเส้นชัย
 
    เรามาสรุปเรื่องของถุงเท้ากันดีกว่าวันมีผลการทดสอบหรือความคิดเห็นในตัวถุงเท้า Nasa Nanofiber Demo รุ่นนี้บ้าง
        
- ผ้ามีการผสมผสานที่แน่น ในตัวเนื้อผ้า แต่ไม่แน่นเวลาสวมใส่ อาจจะมีอึดอัดบ้างในมุมมองของนักวิ่งเท้าเปล่าที่ถอดรองเท้าบ่อยๆจนชิน


- ถุงเท้าสามารถป้องกันสิ่งไม่พึงประสงค์ในระหว่างการวิ่งได้ดี ทั้งในส่วนของพื้นถนน และของมีคมในการทดลองนี้มีน้องในกลุ่มโดนเศษแก้วแตกซึ่งเล็กมากๆ มองด้วยตาเปล่าแทบไม่เห็น ถ้าหากไม่ได้ใส่ถุงเท้าวันนี้คิดว่าจะต้องมีแผลกับไปบ้านแน่นอน ความสุขของการวิ่งของเราก็จะหายไปโดยเฉียบพลันนนน


- ความหนึบเกาะยึดกับพื้น ด้วยตัวถุงเท้ามีการผสมผสานเทคนโนโลยีต่างๆเข้ากับเนื้อผ้า ส่วนผสมของถุงเท้าต้องทำได้ในอัตราส่วนที่พอเหมาะที่จะตอบโจทย์ของความหนึบและแข็งแกร่ง การวิ่งที่ขึ้นลงสะพานในสภาพที่พื้นเปียกแฉะ มีอัตราการการลื่นที่น้อย ซึ่งข้อนี้เป็นข้อที่ชอบมาก- ความรู้สึกเป็นอิสระจากการวิ่งถูกลดทอนลงไปเพียงเล็กน้อย ความรู้สึกเหมือนเท้าเปล่ายังคงมีให้สัมผัสมากได้ถึง 92% 


สิ่งที่อยากนำเสนอ- การสร้างความรู้สึกให้เหมือนเท้าเปล่าจริงๆ ด้วยการทำถุงเท้าแยกนิ้วให้เป็นอิสระ เหมือนใส่ถุงมือ ส่วนนี้จะสร้างอารมณ์ของการวิ่งเท้าเปล่าได้อีก 4-5% 

- ตัวพื้นของถุงเท้าน่าจะมีสีดำ จะไม่เห็นรอยเปื่อนของถุงเท้า

    บทสรุปต่อไปคือส่วนของความทนทาน หรือระยะการใช้งานก็คงต้องทดสอบวิ่งต่อไป เพื่อดูว่าผลิตภัณฑ์ตัวนี้จะตอบโจทย์ให้กับนักวิ่งเท้าเปล่าหน้าใหม่และเก่าๆอย่างเราๆได้หรือไม่ สุดท้ายนี้ผมก็ขอชื่นชมถุงเท้า และบริษัทผู้ผลิตที่พยายามสร้างสรรนวัตกรรมดีๆให้กับวงการวิ่งและปั่นบ้านเรา เป็นแรงใจให้ทีมงาน  NR Nanofiber Sports พัฒนาผลิตภัณฑ์ดีๆเทคโนโลยีล้ำๆให้กับวงการกีฬาบ้านเรา ให้พวกเราได้ใช้ของไทยโดยคนไทยต่อไปในอนาคตด้วยนะครับ ขอบคุณมากๆเลย


x

สิ่งที่ชอบในตัวผลิตภัณฑ์ตัวนี้ คือ

- สร้างความมั่นใจในการวิ่งให้กับนักวิ่ง หลายครั้งที่นักวิ่งจะหยิบรองเท้ามาใส่ เพราะกลัวสภาพพื้นถนนของการแข่งขัน โดยเฉพาะดินแดนของการท่องเที่ยวยามค่ำคืน ถนนพวกนี้จะมีการสะสมของเศษแก้วแตกเยอะกว่าถนนสัญจรทั่วไป
- เรื่องของขนาดถุงเท้าจะยืดหยุ่นมาก ไม่เหมือนกับการใส่คร่อมไซท์ของรองเท้า ที่คลาดเคลื่อนเพียงนิดก็มีผลต่อการวิ่ง
- การระบายอากาศ ด้วยที่ตัวถุงเท้าเป็นผ้าแบบเดียวกันทั้งชิ้น จะทำให้การระบายลดน้อยลงไป หากเปลี่ยนชิ้นเนื้อผ้าด้านบนให้มีความบางลง จะระบายความร้อนจากฝ่าเท้าได้ดีขึ้น 

   ประเด็นที่ยังเหลือให้ทดสอบต่อไปคืออายุการใช้งานของถุงเท้า เรื่องนี้คงต้องใช้เวลาในการทดสอบพอสมควร แต่ถึงอย่างไรก็ขอขอบคุณที่ให้โอกาสเข้าร่วมทดสอบและขอชื่นชมบริษัท NR Nanofiber Sports ที่สร้างนวัตกรรมดีๆให้กับวงการวิ่งและปั่น ทำให้คนไทยได้มีโอกาสใช้ผลิตภัณฑ์จากคนไทยด้วยกันเอง เป็นกำลังใจให้ทีม NR Nanofiber Sports ในการสร้างสรรนวัตกรรมที่ยอดเยี่ยมแบบนี้ต่อไปครับ















วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เท้าเปล่าเล่าเรื่อง ตอน Ekiden อีเก้งเก้ง เอ้ย อีเด้งเก้ง เอ้ย อีกีเด้ง เอ้ยย ถูกแล้วววว

      ย้อนไปสมัยตอนนักวิ่งหน้าโบราณอย่างเรายังเป็นเด็กๆ ผมเคยเล่นวิ่งผลัด ชอบมาก เราจะวิ่งได้ดีกว่าพี่ๆน้องๆคนอื่นๆ เพราะพี่น้องส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงเกือบทั้งหมด น่าภูมิใจมากกก 5555 แต่การวิ่งผลัดแบบนั้นเป็นการเล่นระยะสั้นๆ แต่ก็สนุกในแบบฉบับของเด็กๆล่ะครับ จนโตเกือบจะแก่ละ ได้กลับมาวิ่งอีกครั้ง วิ่งตามงานมินิมาราธอนต่างๆ ก็สนุกดีแต่ก็ยังไม่มีงานไหนที่แปลกแตกต่างไปจากงานทั่วๆไป จนวันนึงน้องในกลุ่มมาชวนไปวิ่ง Ekiden กัน





   ??????? อ่านแล้วก็ทำหน้ามึนๆ อะไรคือ Ekiden???  Ekiden คืออารายย??? จนเข้าไปอ่านรายละเอียดด้านใน แล้วรถเมล์ก็จอดลงที่บางอ้อ

Ekiden เป็นรายการวิ่งแบบผลัดระยะไกล เริ่มต้นครั้งในประเทศญี่ปุ่น ในปี 1917 โดยหนังสือพิมพ์ Yomiuri Shimbun เป็นการวิ่งระยะสามวัน เส้นทางระหว่าง จากเมืองหลวงเก่า เกียวโต ไปจนถึงเมืองหลวงใหม่ โตเกียว ระยะทางที่วิ่ง 508 กิโลเมตร ใช้สายสะพายสีที่ชื่อ  "ทาซูกิ" เป็นอุปกรณ์การผลัดครับ



  รายการนี้ถือเป็นการจัดครั้งแรกในประเทศไทย  Uniuque Running เป็นเจ้าภาพในการจัด ด้วยความที่เป็นรายการแปลกใหม่ นักวิ่งจึงตอบรับเป็นอย่างดี  สมัครกันมาเป็นจำนวนมาก ประเภทของการวิ่งก็จัดนักวิ่งทีมละห้าคน มีแบบ ชายล้วน หญิงล้วน และทีมผสม นักวิ่งที่มาวิ่งเป็นนักวิ่งหน้าประจำที่พบปะกันตามงานวิ่งเสมอ งานนี้ทีมเท้าเปล่าส่งไปวิ่งสนุกกันสามทีม และมีน้องบางคนก็ไปวิ่งร่วมกับเพื่อนกลุ่มๆอื่นกันอยู่บ้าง

สถานที่จัดงานจัดที่สวนรถไฟ ไม้ผลัดหนึ่งและสอง จะวิ่งสี่รอบสวนรถไฟ ไม้ผลัดสามสี่วิ่งสามรอบ และไม้ผลัดห้าวิ่งสองรอบ ระยะรวมก็ 41 กิโลเมตร ผมได้รับมอบหมายเป็นไม้หนึ่ง




 การวิ่งตามงานทุกครั้งผมจะไม่ค่อยใส่ใจกับการยืนหน้าเส้นปล่อยตัวเท่าไหร่ จะยืนทางหลังๆ สบายๆ ยืนคุยกับเพื่อนหัวเราะคิดคักๆไป ปล่อยตัวก็เดินๆขยับๆตามเค้าไปบางงานก็เกือบห้านาทีกว่าจะออกจากเส้น  แต่งานนี้ไม่ได้เป็นอย่างนนั้นเลย หลังเสียงปล่อยตัวดังทุกคนต่างเร่งสปีดออกไปเร็วมาก ผมรู้สึกถึงแรงผลักดันให้เราต้องวิ่งตามไปด้วยความเร็วนั้น เพื่อนๆน้องๆทีมอีกสองทีมก็เร่งตามออกไป วิ่งไปได้ระยะสัก 200-300 เมตรก็เหลือบหันมามองดู ความเร็วที่วิ่งอยู่ขณะนั้น Pace อยู่ที่ 4 นาทีกว่าๆต่อนาที ต่างจาก Pace ปกติที่ผมวิ่งอยู่มาก คิดใจว่าหากวิ่งตามด้วยความเร็วนี้คงไม่ครบรอบแน่นอน เลยตัดสินใจดึงความเร็วลงเพื่อกลับมาสู่ความเร็วของตัวเอง ปล่อยให้วิ่งกันไปครับ ผมไม่รีบบบบ 555555



วิ่งไปได้สักพักก็รู้สึกว่าร่างกายไม่สดเท่าที่ควร มีอาการตึงๆที่หลังต้นขาอันเนื่องจากอาทิตย์ที่ผ่านมาซ้อมแต่ความเร็ว กล้ามเนื้อเลยยังไม่ฟื้น ต้องค่อยๆวิ่งไปดีกว่า วิ่งไปได้สามรอบก็ได้ยินเจ้าหน้าที่วิทยุคุยกันว่ามีคนบาดเจ็บ แต่วิ่งต่อไปแล้ว วิ่งต่อสักพักก็เจอคนบาดเจ็บเป็นเพื่อนนักวิ่งผลัด1 ทีมอื่นนอนอยู่ที่พื้นตรงจุดให้น้ำไม่แน่ใจว่าเป็นลมหรือบาดเจ็บ ซึ่งอยู่ในการดูแลจากเจ้าหน้าที่อย่างดี วิ่งจนครับสี่รอบก็เปลี่ยนให้เพื่อนที่อยู่ผลัดสองวิ่งต่อไป



บรรยากาศในสนามวิ่งเต็มไปด้วยความตั้งใจของนักวิ่ง ทุกคนเอาจริงเอาจังกับการวิ่งมาก แต่ข้างทางกลับเหมือนงานปิกนิค เต็มไปด้วยมิตรภาพ สนุกสนาน มีการจับกลุ่มกันยืนเชียร์นักวิ่งแม้ไม่ใช่นักวิ่งของทีมตันเอง มีอาหารการกินที่เตรียมกันมาเอง มีการแบ่งปันอาหารให่แก่เพื่อนนักวิ่งกลุ่มต่างๆ ดูแล้วรู้สึกดีมากๆในบรรยากาศการแข่งขันประเภทนี้







อย่างที่เคยเล่าไว้ก่อนหน้านี้ครับว่านักวิ่งเป็นนักวิ่งหน้าเก่าที่มีประสบการณ์กันแทบทั้งนั้น เวลาแต่ละทีมจึงเข้าเส้นได้ก่อนกำหนด ยังคงเหลือแต่นักวิ่งรุ่นใหม่เพียงไม่กี่ทีมที่ยังคงไม่เข้าเส้นชัย เวลาก็เขยิบใกล้ถึงสิบเอ็ดโมงตามกำหนดเวลาที่จะต้องหยุดการแข่งขัน ยังคงมีนักวิ่งที่ยังไม่เข้าเส้นและที่ยังไม่ได้ลงวิ่งอีกนิดหน่อย และหนึ่งในนั้นคือนักวิ่งเท้าเปล่าน้องใหม่ของกลุ่ม ที่ยังผ่านงานวิ่งมานับครั้งได้ งานนี้ได้เห็นน้ำใจเพื่อนๆพี่ๆนักวิ่งเท้าเปล่ากันเต็มที่เลยครับ ( ให้เดานะครับว่าน้องคนไหน 5555 )




ถึงเวลาที่น้องจะลงไปวิ่งผลัดห้า เพื่อนๆพี่ทุกๆคนต่างลุกกันออกมาจากที่นั่งเพื่อออกไปวิ่งกับน้อง ทั้งที่แดดก็เริ่มร้อน พื้นเริ่มระอุจากไอแดด ระยะทาง 5 กิโล แต่ทุกคนก็ยังตั้งใจวิ่งเป็นเพื่อนน้องคนนี้ วิ่งกันไปหัวเราะกันไป นักวิ่งที่กำลังจะเดินทางกลับและที่ยังถ่ายภาพเล่นข้างทางที่ยังไม่กลับก็ปรบมือให้กำลังใจตลอดทาง เป็นภาพประทับใจสุดท้ายก่อนงานจะเลิก จากนั้นก็ถ่ายรูปเล่นกันและร่วมทานข้าวกับทีมงานที่จัดไว้ให้ ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ




ขอบคุณทีมงานยูนิครันนิ่งสำหรับงานสนุกๆ ขอบคุณทีมงานภาพชัตเตอร์รันนิ่งสำหรับภาพสวยๆและเพื่อนๆพี่ๆน้องๆชาวตีนดำทุกคนๆครับ





วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เท้าเปล่าเล่าเรื่อง ตอน Run & Ride for Children's Chance

งานวิ่ง Run & Ride for Children's Chance เป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อช่วยเหลือเด็กๆที่ป่วยเป็นโรคหัวใจ และเด็กที่เป็นมะเร็งต้องปลูกถ่ายไขกระดูก จัดโดย โรงพยาบาล สมิติเวช สถานที่วิ่งจัดที่โรงพยาบาลสมติเวช ศรีนครินทร์ ในงานนี้แบ่งกิจกรรมเป็นสองกิจกรรม มีทั้งวิ่งและขี่จักรยานเลยครับ
เส้นทางวิ่งมีสองระยะ

   - ระยะวิ่งมีสองระยะครับ 3.7 กับ 12.5 กิโลเมตร

   - ระยะปั่นจักรยาน 32 กิโลเมตร




ออกเดินทางไปถึงงานก็ประมาณตีห้า ต้องมาถึงเร็วเพราะยังไม่ได้สมัครครับ ต้องรีบมาสมัครหน้างาน สังเกตุเห็นเพิ่งงานเพิ่งเปิดรับลงทะเบียน คนยังน้อยมากครับ



สักพักนักวิ่งนักปั่นเริ่มทะยอยมาลงทะเบียนกัน หลังจากสมัครและลงทะเบียนก็จะได้รับเสื้อยืดและทัมไดรฟเป็นรูปหมี น่ารักมากครับ ระหว่างรอเวลาปล่อยตัวนักวิ่ง หกโมง ก็นั่งเล่นไปครับ ถ่ายรูปเล่นสักหน่อย แก้ง่วงงง ZzzzZzzzzz




ก่อนจะออกไปวิ่งก็ต้องวอร์ม ยืดเหยียดกันสักหน่อยนะคร้าบบบ 


งานนี้มีพี่ทนงศักดิ์ มานำยืดเหยียดกันเลย

พอถึงเวลาหกโมงตรงก็ปล่อยตัวนักวิ่ง ระยะ 12 กิโลเมตร ออกจากเส้นสตาร์ท นักวิ่งมีจำนวนไม่มาก เกือบทั้งหมดเป็นนักวิ่งหน้าใหม่ นักวิ่งหน้าประจำไม่ค่อยเห็น คงเป็นเพราะเป็นวันเสาร์ และวันอาทิตย์ก็มีงานของชมรมนักวิ่งแต้จิ๋วที่มาซ้อนกันอีก เราก็จะมาพูดถึงการจัดความพร้อมในการวิ่งส่วนต่างๆของรายการนี้กันนะครับ ขอแบ่งเป็นข้อๆนะครับ



  • เส้นทางการวิ่ง เป็นเส้นที่ถือว่าเป็นเส้นทางที่มีรถเยอะมากเส้นนึง ถึงแม้จะเป็นช่วงเช้า แต่ต้องวิ่งผ่านหน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งมีรถประจำทางวิ่งเป็นจำนวนมาก ก็ทำให้นักวิ่งรู้สึกไม่ปลอดภัย ระยะทางที่วิ่งผ่านก็ไม่มีการกั้นโดยใช้กรวยยาง มีแค่ตำรวจคอยกันรถเป็นระยะ จนหลังๆ นักวิ่งบางคนต้องหนีขึ้นไปวิ่งบนฟุตบาธกันเลย





  • ป้ายแจ้งระยะและเส้นทาง ป้ายแจ้งระยะจะตั้งไม่ตรงกับระยะจริง อย่างที่แอดมินวิ่งโดยวัดจาก GPS Garmin วัดได้หกกิโลแต่ป้ายบอกเจ็ดกิโล ทำให้นักวิ่งที่ไม่มีเครื่องวัดระยะกะระยะผิดกันไปหมด หากใครที่ออมแรงไว้จะวิ่งเร็วช่วงสุดท้ายก็คงหมดแรงก่อนถึงเส้นกันแน่ๆ

  •  จุดให้น้ำระหว่างทาง ถือว่ามีจุดให้น้ำที่เพียงพอ แม้ว่าระยะจะเกินกว่าระยะมินิมาราธอนถึงสองกิโล แต่น้ำที่ให้เป็นน้ำที่ซีนมา การดื่มต้องใช้หลอกเจาะเพื่อดูด ก็รู้สึกแปลกๆกันไปครับ



  • อาหารและเครื่องดื่ม มีโจ๊ก กาแฟ ปาท่องโก๋ น้ำเต้าหู้ อาหารอร่อยดีครับแต่จำนวนน้อยไปหน่อย ไม่แน่ใจว่านักปั่นหรือนักวิ่งที่เข้าเส้นหลังจะไม่ได้ทานรึเปล่านะครับ อาหารหมดเร็วมาก


  • ห้องน้ำ ส่วนห้องน้ำที่ให้บริการจะเป็นรถแบบเคลื่อนที่สองคัน สะอาดมากครับไม่แพ้ห้องน้ำในอาคารเลยครับ

  • ของที่ระลึก เป็นเสื้อยืดกับทัมไดรฟรูปหมีขนาดสองกิ๊ก น่ารักดีครับ (ไม่มีรูปเพราะแอดมินลืมไว้ในรถเพื่อน)
    หลังยืดเหยียด ทานอาหาร ดื่มน้ำกันเสร็จก็มีการแจกของรางวัล จาก บู้ท Jabra และประมูลจักรยานพับ Java มูลค่า 15,500 บาท เพื่อนำเงินที่ได้จากการประมูลไปสมทบเข้าโครงการครับ จบการประมูลจักรยานคันนี้ได้ถึง 18,000 กันเลย จากนั้นก็มอบเงินที่ได้จากการจัดงานให้กับทางโรงพยาบาลสมิติเวชครับ  



  





ปิดท้ายนี้ก็ขอขอบคุณ โรงพยาบาลสมิติเวชที่สร้างสรรค์กิจกรรมดีๆให้คนไทยได้มีสุขภาพดีๆ ได้มีโอกาสได้ช่วยเหลือน้องๆครับ ^_^





  






วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เท้าเปล่าเล่าเรื่อง ตอน วิ่งผลัดสู่แม่วงก์

      สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาจนถึงวันอาทิตย์ใช้ชีวิตบนเส้นทางของนักวิ่งอย่างมีความสุขมากที่สุด มีโอกาสวิ่งเพื่อทำความตั้งใจของพี่ๆทีมงานเรื่องวิ่งเรื่องกล้วย พี่ๆที่รักและเคารพ เพื่อให้ทีมพี่ๆได้พักผ่อน เป็นการตัดสินใจไปวิ่งโดยไม่ต้องคิดมาก คุยกับน้องในกลุ่มรองเท้าหายว่ามีใครสนใจจะไปช่วยแบ่งเบาภาระพี่ๆบ้างเนื่องจากช่วงกลางคืนเป็นผลัดที่ยังไม่มีคนวิ่ง
      สรุปได้นักวิ่งหกคน  พี่โก้ หมอมาร์ค ฟรีส ผม ตูน (ญ) แล้วก็น้องฮุย คำนวนระยะเวลาทั้งหมดที่เราจะใช้ได้คือหกชั่วโมงกว่าๆ ต้องเดินทางกลับถึงกรุงเทพแปดโมงเช้า เพราะมีนักวิ่งที่มีงานที่ต้องรับผิดชอบอีกในวันเสาร์ ตกละกันว่าจะรับผิดชอบกันคนละสิบกิโล วิ่งด้วย Pace 6 กว่าได้  ออกเดินทางออกจากวัดเสมียนนารี จุดนัด บ้านน้องฮุย เริ่มเดินทางสายเพราะเป็นวันศุกร์ รถติดและมีรถบนท้องถนนเป็นจำนวนมาก ตลอดการเดินทางไม่ได้แวะที่ไหน เวลามีจำกัด อยากให้การเดินทางถึงจุดหมายอย่างเร็วที่สุด เพราะพี่ๆที่วิ่งจะได้พักได้นานหน่อย จนไล่ไปทันที่ชัยนาท เวลาเกือบห้าทุ่มแล้ว


      นักวิ่งกะดึกที่กำลังวิ่งสู่เป้าหมายอยู่คือ พี่กล้วยปั่น หรือพี่จุ๋งของเรานั่นเอง พี่จุ๋งได้วิ่งเป็นระยะ 20กว่ากิโลแล้ว เลยรีบเปลี่ยนไม้หนึ่งของเราลงไป นักวิ่งเจ พี่โก้  พี่จุ๋งเปลี่ยนมาปั่นจักรยานพับตามเพื่อคูลดาวน์ 




ตามด้วยไม้สอง หมอมาร์ค ไม้สาม ฟรีส ไม้สี่ ฮุย ไม้ห้า ผม ไม้หก ตูน จนกระทั่งพระอาทิตย์เริ่มทอแสงริมขอบฟ้า เช้าแล้วหมดเวลาของเราแล้ว เตรียมเปลี่ยนไม้ผลัดให้กับทีมอื่นต่อ  น้องบิว น้องสาวที่เดินทางร่วมกับทีมมาหลายวัน และ นักวิ่งนครสวรรค์  ทีมที่กำลังจะมารับไม้ต่อจากเรา พี่จุ๋งบอกเรา พวกเราก็เลยโล่งอก เตรียมกลับบ้านด้วยความสบายใจ จากนั้นก็ถ่ายภาพแยกย้ายกลับไปทำดำเนินภาระกิจของตนเองต่อไป ทุกคนฝากชีวิตด้วยโชว์เฟอร์ฝีเท้าพระกาฬ ตูน (ญ) หลังจากขึ้นรถได้ไม่นาน ตะวันก็เริ่มฉายแสงให้พวกเราได้เห็น แต่ทุกคนก็กลับเข้าสู่ความมืดด้วยความอ่อนล้า หลับสนิทจนถึงปทุมในเวลาที่ทันกำหนด ขอบคุณโชว์เฟอร์เท้าเปล่าพราะกาฬตูน





      การเดินทางบนเส้นทางสายมิตรภาพเส้นนี้ ทำให้ผมยินดีและดีใจมากที่ได้ใช้เวลาที่มีค่ามากๆเคียงข้างทุกท่าน แม้เพื่อนร่วมทางครั้งนี้จะเป็นนักวิ่งที่เราไม่เคยได้คุย ไม่เคยรู้จักกันเลยก็ตาม ผมขอขอบคุณน้ำใจจากทุกๆท่าน ขอบคุณเพื่อนๆที่ส่งแรงใจ ด้วยครับ ขอบคุณด้วยใจจริงๆครับ "นักวิ่งแห่งรัตติกาล"

วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เท้าเปล่า เล่าเรื่อง งานวิ่งกรมบัญชีกลาง ครั้งที่ 12

หลังจากที่ไม่ได้ไปวิ่งร่วมงานกับเพื่อนๆมาสองสัปดาห์ ความรู้สึกเหมือนเด็กที่ไม่ได้ไปวิ่งเล่นนอก เลยต้องรีบหางานวิ่งเล่นสักหน่อย เปิดหางานที่จัดในกรุงเทพที่น่าสนใจ จากเวปพี่ๆทีมงานที่น่ารัก www.shutterrunning.com และ www.patrunning.com ก็ได้เจองานที่น่าสนใจ งานวิ่งของกรมบัญชีกลาง จัดที่ศูนย์ราชการ สถานที่ก็ไม่เคยไปลองวิ่ง น่าสนใจดีมาก เลยชวนสมาชิกกลุ่ม รองเท้าbarefootrunning ไปยืดเส้นกันสักหน่อย

ภาพก่อนเริ่มออกจากจุดปล่อยตัว (โดนเหยี่ยบเท้าด้วย โกรธ)

  งานวันนี้ก็ถือว่าจัดได้ดี 
- พื้นที่กว้าง เป็นสัดส่วนดีมาก สามารถจัดบู้ทได้เยอะ พื้นที่เพียงพอสำหรับการยืดเส้น เดินไปเดินมา
- จำนวนนักวิ่งเยอะพอสมควร  แต่ก็สามารถวิ่งได้คล่องตัว เพราะถนนมีขนาดกว้าง 
- การจัดการเรื่องรถยนต์ทำได้ดี เพราะสาถานที่แทบจะเป็นสถานที่ปิด นับจำนวนรถที่วิ่งได้เลยทีเดียว
- เส้นทางวิ่ง กว้างขวาง เป็นถนนขนาดสี่เลนขึ้นไป สภาพพื้นเป็นคอนกรีตซะส่วนใหญ่ นักวิ่งส่วนใหญ่จะบ่นเพราะพื้นคอนกรีตเป็นพื้นที่นักวิ่งส่วนใหญ่พยายามหลีกเลี่ยง ส่วนนักวิ่งเท้าเปล่าอย่างเรา ก็คงมีปัญหาแค่เรื่องเศษกรวดเล็กๆที่มีให้ได้เหยียบกันเป็นเป็นระยะ กลับมาบ้านล้างเท้าถึงกับอึ้งเพราะมีรอยช้ำๆแดงๆเป็นจำๆบ้าง แต่ก็ไม่ได้เจ็บอะไรมาก
- จุดให้น้ำมีเป็นช่วงๆห่างกันสองกิโลเมตร มีให้ไม่ขาด อาจจะเนื่องมากจากคนไม่เยอะมาก
- ที่จอดรถ เรื่องนี้ถ้าไม่พูดเลยก็คงไม่ได้สำหรับการเดินไปร่วมงาน ในงานนี้มีอาคารจอดรถไว้ให้ผู้ร่วมงานเพียงพอ จอดง่ายมากครับ
- ค่าสมัคร เสื้อและของที่ระลึก กับค่าสมัครที่เสียไปเพียงสองร้อยเท้านั่น คุ้มมากๆครับ

      โดยรวมถือว่าดีมากครับ ถ้าให้คะแนนก็ 8/10 ครับ 
สำหรับผมแล้วววันนี้เป็นวันที่สนุกวันนึง อากาศดีๆ ลมเย็นๆ แดดไม่ร้อน มีเพื่อนๆร่วมวิ่งร่วมคุยสนุกสนานมาก สุดท้ายก็ต้องขอขอบคุณสำหรับกิจกรรมดีๆสำหรับนำวิ่งครับ กรมบัญชีกลาง ขอบคุณครับ