วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เท้าเปล่าเล่าเรื่อง ตอน Ekiden อีเก้งเก้ง เอ้ย อีเด้งเก้ง เอ้ย อีกีเด้ง เอ้ยย ถูกแล้วววว

      ย้อนไปสมัยตอนนักวิ่งหน้าโบราณอย่างเรายังเป็นเด็กๆ ผมเคยเล่นวิ่งผลัด ชอบมาก เราจะวิ่งได้ดีกว่าพี่ๆน้องๆคนอื่นๆ เพราะพี่น้องส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงเกือบทั้งหมด น่าภูมิใจมากกก 5555 แต่การวิ่งผลัดแบบนั้นเป็นการเล่นระยะสั้นๆ แต่ก็สนุกในแบบฉบับของเด็กๆล่ะครับ จนโตเกือบจะแก่ละ ได้กลับมาวิ่งอีกครั้ง วิ่งตามงานมินิมาราธอนต่างๆ ก็สนุกดีแต่ก็ยังไม่มีงานไหนที่แปลกแตกต่างไปจากงานทั่วๆไป จนวันนึงน้องในกลุ่มมาชวนไปวิ่ง Ekiden กัน





   ??????? อ่านแล้วก็ทำหน้ามึนๆ อะไรคือ Ekiden???  Ekiden คืออารายย??? จนเข้าไปอ่านรายละเอียดด้านใน แล้วรถเมล์ก็จอดลงที่บางอ้อ

Ekiden เป็นรายการวิ่งแบบผลัดระยะไกล เริ่มต้นครั้งในประเทศญี่ปุ่น ในปี 1917 โดยหนังสือพิมพ์ Yomiuri Shimbun เป็นการวิ่งระยะสามวัน เส้นทางระหว่าง จากเมืองหลวงเก่า เกียวโต ไปจนถึงเมืองหลวงใหม่ โตเกียว ระยะทางที่วิ่ง 508 กิโลเมตร ใช้สายสะพายสีที่ชื่อ  "ทาซูกิ" เป็นอุปกรณ์การผลัดครับ



  รายการนี้ถือเป็นการจัดครั้งแรกในประเทศไทย  Uniuque Running เป็นเจ้าภาพในการจัด ด้วยความที่เป็นรายการแปลกใหม่ นักวิ่งจึงตอบรับเป็นอย่างดี  สมัครกันมาเป็นจำนวนมาก ประเภทของการวิ่งก็จัดนักวิ่งทีมละห้าคน มีแบบ ชายล้วน หญิงล้วน และทีมผสม นักวิ่งที่มาวิ่งเป็นนักวิ่งหน้าประจำที่พบปะกันตามงานวิ่งเสมอ งานนี้ทีมเท้าเปล่าส่งไปวิ่งสนุกกันสามทีม และมีน้องบางคนก็ไปวิ่งร่วมกับเพื่อนกลุ่มๆอื่นกันอยู่บ้าง

สถานที่จัดงานจัดที่สวนรถไฟ ไม้ผลัดหนึ่งและสอง จะวิ่งสี่รอบสวนรถไฟ ไม้ผลัดสามสี่วิ่งสามรอบ และไม้ผลัดห้าวิ่งสองรอบ ระยะรวมก็ 41 กิโลเมตร ผมได้รับมอบหมายเป็นไม้หนึ่ง




 การวิ่งตามงานทุกครั้งผมจะไม่ค่อยใส่ใจกับการยืนหน้าเส้นปล่อยตัวเท่าไหร่ จะยืนทางหลังๆ สบายๆ ยืนคุยกับเพื่อนหัวเราะคิดคักๆไป ปล่อยตัวก็เดินๆขยับๆตามเค้าไปบางงานก็เกือบห้านาทีกว่าจะออกจากเส้น  แต่งานนี้ไม่ได้เป็นอย่างนนั้นเลย หลังเสียงปล่อยตัวดังทุกคนต่างเร่งสปีดออกไปเร็วมาก ผมรู้สึกถึงแรงผลักดันให้เราต้องวิ่งตามไปด้วยความเร็วนั้น เพื่อนๆน้องๆทีมอีกสองทีมก็เร่งตามออกไป วิ่งไปได้ระยะสัก 200-300 เมตรก็เหลือบหันมามองดู ความเร็วที่วิ่งอยู่ขณะนั้น Pace อยู่ที่ 4 นาทีกว่าๆต่อนาที ต่างจาก Pace ปกติที่ผมวิ่งอยู่มาก คิดใจว่าหากวิ่งตามด้วยความเร็วนี้คงไม่ครบรอบแน่นอน เลยตัดสินใจดึงความเร็วลงเพื่อกลับมาสู่ความเร็วของตัวเอง ปล่อยให้วิ่งกันไปครับ ผมไม่รีบบบบ 555555



วิ่งไปได้สักพักก็รู้สึกว่าร่างกายไม่สดเท่าที่ควร มีอาการตึงๆที่หลังต้นขาอันเนื่องจากอาทิตย์ที่ผ่านมาซ้อมแต่ความเร็ว กล้ามเนื้อเลยยังไม่ฟื้น ต้องค่อยๆวิ่งไปดีกว่า วิ่งไปได้สามรอบก็ได้ยินเจ้าหน้าที่วิทยุคุยกันว่ามีคนบาดเจ็บ แต่วิ่งต่อไปแล้ว วิ่งต่อสักพักก็เจอคนบาดเจ็บเป็นเพื่อนนักวิ่งผลัด1 ทีมอื่นนอนอยู่ที่พื้นตรงจุดให้น้ำไม่แน่ใจว่าเป็นลมหรือบาดเจ็บ ซึ่งอยู่ในการดูแลจากเจ้าหน้าที่อย่างดี วิ่งจนครับสี่รอบก็เปลี่ยนให้เพื่อนที่อยู่ผลัดสองวิ่งต่อไป



บรรยากาศในสนามวิ่งเต็มไปด้วยความตั้งใจของนักวิ่ง ทุกคนเอาจริงเอาจังกับการวิ่งมาก แต่ข้างทางกลับเหมือนงานปิกนิค เต็มไปด้วยมิตรภาพ สนุกสนาน มีการจับกลุ่มกันยืนเชียร์นักวิ่งแม้ไม่ใช่นักวิ่งของทีมตันเอง มีอาหารการกินที่เตรียมกันมาเอง มีการแบ่งปันอาหารให่แก่เพื่อนนักวิ่งกลุ่มต่างๆ ดูแล้วรู้สึกดีมากๆในบรรยากาศการแข่งขันประเภทนี้







อย่างที่เคยเล่าไว้ก่อนหน้านี้ครับว่านักวิ่งเป็นนักวิ่งหน้าเก่าที่มีประสบการณ์กันแทบทั้งนั้น เวลาแต่ละทีมจึงเข้าเส้นได้ก่อนกำหนด ยังคงเหลือแต่นักวิ่งรุ่นใหม่เพียงไม่กี่ทีมที่ยังคงไม่เข้าเส้นชัย เวลาก็เขยิบใกล้ถึงสิบเอ็ดโมงตามกำหนดเวลาที่จะต้องหยุดการแข่งขัน ยังคงมีนักวิ่งที่ยังไม่เข้าเส้นและที่ยังไม่ได้ลงวิ่งอีกนิดหน่อย และหนึ่งในนั้นคือนักวิ่งเท้าเปล่าน้องใหม่ของกลุ่ม ที่ยังผ่านงานวิ่งมานับครั้งได้ งานนี้ได้เห็นน้ำใจเพื่อนๆพี่ๆนักวิ่งเท้าเปล่ากันเต็มที่เลยครับ ( ให้เดานะครับว่าน้องคนไหน 5555 )




ถึงเวลาที่น้องจะลงไปวิ่งผลัดห้า เพื่อนๆพี่ทุกๆคนต่างลุกกันออกมาจากที่นั่งเพื่อออกไปวิ่งกับน้อง ทั้งที่แดดก็เริ่มร้อน พื้นเริ่มระอุจากไอแดด ระยะทาง 5 กิโล แต่ทุกคนก็ยังตั้งใจวิ่งเป็นเพื่อนน้องคนนี้ วิ่งกันไปหัวเราะกันไป นักวิ่งที่กำลังจะเดินทางกลับและที่ยังถ่ายภาพเล่นข้างทางที่ยังไม่กลับก็ปรบมือให้กำลังใจตลอดทาง เป็นภาพประทับใจสุดท้ายก่อนงานจะเลิก จากนั้นก็ถ่ายรูปเล่นกันและร่วมทานข้าวกับทีมงานที่จัดไว้ให้ ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ




ขอบคุณทีมงานยูนิครันนิ่งสำหรับงานสนุกๆ ขอบคุณทีมงานภาพชัตเตอร์รันนิ่งสำหรับภาพสวยๆและเพื่อนๆพี่ๆน้องๆชาวตีนดำทุกคนๆครับ





วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เท้าเปล่าเล่าเรื่อง ตอน Run & Ride for Children's Chance

งานวิ่ง Run & Ride for Children's Chance เป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อช่วยเหลือเด็กๆที่ป่วยเป็นโรคหัวใจ และเด็กที่เป็นมะเร็งต้องปลูกถ่ายไขกระดูก จัดโดย โรงพยาบาล สมิติเวช สถานที่วิ่งจัดที่โรงพยาบาลสมติเวช ศรีนครินทร์ ในงานนี้แบ่งกิจกรรมเป็นสองกิจกรรม มีทั้งวิ่งและขี่จักรยานเลยครับ
เส้นทางวิ่งมีสองระยะ

   - ระยะวิ่งมีสองระยะครับ 3.7 กับ 12.5 กิโลเมตร

   - ระยะปั่นจักรยาน 32 กิโลเมตร




ออกเดินทางไปถึงงานก็ประมาณตีห้า ต้องมาถึงเร็วเพราะยังไม่ได้สมัครครับ ต้องรีบมาสมัครหน้างาน สังเกตุเห็นเพิ่งงานเพิ่งเปิดรับลงทะเบียน คนยังน้อยมากครับ



สักพักนักวิ่งนักปั่นเริ่มทะยอยมาลงทะเบียนกัน หลังจากสมัครและลงทะเบียนก็จะได้รับเสื้อยืดและทัมไดรฟเป็นรูปหมี น่ารักมากครับ ระหว่างรอเวลาปล่อยตัวนักวิ่ง หกโมง ก็นั่งเล่นไปครับ ถ่ายรูปเล่นสักหน่อย แก้ง่วงงง ZzzzZzzzzz




ก่อนจะออกไปวิ่งก็ต้องวอร์ม ยืดเหยียดกันสักหน่อยนะคร้าบบบ 


งานนี้มีพี่ทนงศักดิ์ มานำยืดเหยียดกันเลย

พอถึงเวลาหกโมงตรงก็ปล่อยตัวนักวิ่ง ระยะ 12 กิโลเมตร ออกจากเส้นสตาร์ท นักวิ่งมีจำนวนไม่มาก เกือบทั้งหมดเป็นนักวิ่งหน้าใหม่ นักวิ่งหน้าประจำไม่ค่อยเห็น คงเป็นเพราะเป็นวันเสาร์ และวันอาทิตย์ก็มีงานของชมรมนักวิ่งแต้จิ๋วที่มาซ้อนกันอีก เราก็จะมาพูดถึงการจัดความพร้อมในการวิ่งส่วนต่างๆของรายการนี้กันนะครับ ขอแบ่งเป็นข้อๆนะครับ



  • เส้นทางการวิ่ง เป็นเส้นที่ถือว่าเป็นเส้นทางที่มีรถเยอะมากเส้นนึง ถึงแม้จะเป็นช่วงเช้า แต่ต้องวิ่งผ่านหน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งมีรถประจำทางวิ่งเป็นจำนวนมาก ก็ทำให้นักวิ่งรู้สึกไม่ปลอดภัย ระยะทางที่วิ่งผ่านก็ไม่มีการกั้นโดยใช้กรวยยาง มีแค่ตำรวจคอยกันรถเป็นระยะ จนหลังๆ นักวิ่งบางคนต้องหนีขึ้นไปวิ่งบนฟุตบาธกันเลย





  • ป้ายแจ้งระยะและเส้นทาง ป้ายแจ้งระยะจะตั้งไม่ตรงกับระยะจริง อย่างที่แอดมินวิ่งโดยวัดจาก GPS Garmin วัดได้หกกิโลแต่ป้ายบอกเจ็ดกิโล ทำให้นักวิ่งที่ไม่มีเครื่องวัดระยะกะระยะผิดกันไปหมด หากใครที่ออมแรงไว้จะวิ่งเร็วช่วงสุดท้ายก็คงหมดแรงก่อนถึงเส้นกันแน่ๆ

  •  จุดให้น้ำระหว่างทาง ถือว่ามีจุดให้น้ำที่เพียงพอ แม้ว่าระยะจะเกินกว่าระยะมินิมาราธอนถึงสองกิโล แต่น้ำที่ให้เป็นน้ำที่ซีนมา การดื่มต้องใช้หลอกเจาะเพื่อดูด ก็รู้สึกแปลกๆกันไปครับ



  • อาหารและเครื่องดื่ม มีโจ๊ก กาแฟ ปาท่องโก๋ น้ำเต้าหู้ อาหารอร่อยดีครับแต่จำนวนน้อยไปหน่อย ไม่แน่ใจว่านักปั่นหรือนักวิ่งที่เข้าเส้นหลังจะไม่ได้ทานรึเปล่านะครับ อาหารหมดเร็วมาก


  • ห้องน้ำ ส่วนห้องน้ำที่ให้บริการจะเป็นรถแบบเคลื่อนที่สองคัน สะอาดมากครับไม่แพ้ห้องน้ำในอาคารเลยครับ

  • ของที่ระลึก เป็นเสื้อยืดกับทัมไดรฟรูปหมีขนาดสองกิ๊ก น่ารักดีครับ (ไม่มีรูปเพราะแอดมินลืมไว้ในรถเพื่อน)
    หลังยืดเหยียด ทานอาหาร ดื่มน้ำกันเสร็จก็มีการแจกของรางวัล จาก บู้ท Jabra และประมูลจักรยานพับ Java มูลค่า 15,500 บาท เพื่อนำเงินที่ได้จากการประมูลไปสมทบเข้าโครงการครับ จบการประมูลจักรยานคันนี้ได้ถึง 18,000 กันเลย จากนั้นก็มอบเงินที่ได้จากการจัดงานให้กับทางโรงพยาบาลสมิติเวชครับ  



  





ปิดท้ายนี้ก็ขอขอบคุณ โรงพยาบาลสมิติเวชที่สร้างสรรค์กิจกรรมดีๆให้คนไทยได้มีสุขภาพดีๆ ได้มีโอกาสได้ช่วยเหลือน้องๆครับ ^_^





  






วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เท้าเปล่าเล่าเรื่อง ตอน วิ่งผลัดสู่แม่วงก์

      สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาจนถึงวันอาทิตย์ใช้ชีวิตบนเส้นทางของนักวิ่งอย่างมีความสุขมากที่สุด มีโอกาสวิ่งเพื่อทำความตั้งใจของพี่ๆทีมงานเรื่องวิ่งเรื่องกล้วย พี่ๆที่รักและเคารพ เพื่อให้ทีมพี่ๆได้พักผ่อน เป็นการตัดสินใจไปวิ่งโดยไม่ต้องคิดมาก คุยกับน้องในกลุ่มรองเท้าหายว่ามีใครสนใจจะไปช่วยแบ่งเบาภาระพี่ๆบ้างเนื่องจากช่วงกลางคืนเป็นผลัดที่ยังไม่มีคนวิ่ง
      สรุปได้นักวิ่งหกคน  พี่โก้ หมอมาร์ค ฟรีส ผม ตูน (ญ) แล้วก็น้องฮุย คำนวนระยะเวลาทั้งหมดที่เราจะใช้ได้คือหกชั่วโมงกว่าๆ ต้องเดินทางกลับถึงกรุงเทพแปดโมงเช้า เพราะมีนักวิ่งที่มีงานที่ต้องรับผิดชอบอีกในวันเสาร์ ตกละกันว่าจะรับผิดชอบกันคนละสิบกิโล วิ่งด้วย Pace 6 กว่าได้  ออกเดินทางออกจากวัดเสมียนนารี จุดนัด บ้านน้องฮุย เริ่มเดินทางสายเพราะเป็นวันศุกร์ รถติดและมีรถบนท้องถนนเป็นจำนวนมาก ตลอดการเดินทางไม่ได้แวะที่ไหน เวลามีจำกัด อยากให้การเดินทางถึงจุดหมายอย่างเร็วที่สุด เพราะพี่ๆที่วิ่งจะได้พักได้นานหน่อย จนไล่ไปทันที่ชัยนาท เวลาเกือบห้าทุ่มแล้ว


      นักวิ่งกะดึกที่กำลังวิ่งสู่เป้าหมายอยู่คือ พี่กล้วยปั่น หรือพี่จุ๋งของเรานั่นเอง พี่จุ๋งได้วิ่งเป็นระยะ 20กว่ากิโลแล้ว เลยรีบเปลี่ยนไม้หนึ่งของเราลงไป นักวิ่งเจ พี่โก้  พี่จุ๋งเปลี่ยนมาปั่นจักรยานพับตามเพื่อคูลดาวน์ 




ตามด้วยไม้สอง หมอมาร์ค ไม้สาม ฟรีส ไม้สี่ ฮุย ไม้ห้า ผม ไม้หก ตูน จนกระทั่งพระอาทิตย์เริ่มทอแสงริมขอบฟ้า เช้าแล้วหมดเวลาของเราแล้ว เตรียมเปลี่ยนไม้ผลัดให้กับทีมอื่นต่อ  น้องบิว น้องสาวที่เดินทางร่วมกับทีมมาหลายวัน และ นักวิ่งนครสวรรค์  ทีมที่กำลังจะมารับไม้ต่อจากเรา พี่จุ๋งบอกเรา พวกเราก็เลยโล่งอก เตรียมกลับบ้านด้วยความสบายใจ จากนั้นก็ถ่ายภาพแยกย้ายกลับไปทำดำเนินภาระกิจของตนเองต่อไป ทุกคนฝากชีวิตด้วยโชว์เฟอร์ฝีเท้าพระกาฬ ตูน (ญ) หลังจากขึ้นรถได้ไม่นาน ตะวันก็เริ่มฉายแสงให้พวกเราได้เห็น แต่ทุกคนก็กลับเข้าสู่ความมืดด้วยความอ่อนล้า หลับสนิทจนถึงปทุมในเวลาที่ทันกำหนด ขอบคุณโชว์เฟอร์เท้าเปล่าพราะกาฬตูน





      การเดินทางบนเส้นทางสายมิตรภาพเส้นนี้ ทำให้ผมยินดีและดีใจมากที่ได้ใช้เวลาที่มีค่ามากๆเคียงข้างทุกท่าน แม้เพื่อนร่วมทางครั้งนี้จะเป็นนักวิ่งที่เราไม่เคยได้คุย ไม่เคยรู้จักกันเลยก็ตาม ผมขอขอบคุณน้ำใจจากทุกๆท่าน ขอบคุณเพื่อนๆที่ส่งแรงใจ ด้วยครับ ขอบคุณด้วยใจจริงๆครับ "นักวิ่งแห่งรัตติกาล"

วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เท้าเปล่า เล่าเรื่อง งานวิ่งกรมบัญชีกลาง ครั้งที่ 12

หลังจากที่ไม่ได้ไปวิ่งร่วมงานกับเพื่อนๆมาสองสัปดาห์ ความรู้สึกเหมือนเด็กที่ไม่ได้ไปวิ่งเล่นนอก เลยต้องรีบหางานวิ่งเล่นสักหน่อย เปิดหางานที่จัดในกรุงเทพที่น่าสนใจ จากเวปพี่ๆทีมงานที่น่ารัก www.shutterrunning.com และ www.patrunning.com ก็ได้เจองานที่น่าสนใจ งานวิ่งของกรมบัญชีกลาง จัดที่ศูนย์ราชการ สถานที่ก็ไม่เคยไปลองวิ่ง น่าสนใจดีมาก เลยชวนสมาชิกกลุ่ม รองเท้าbarefootrunning ไปยืดเส้นกันสักหน่อย

ภาพก่อนเริ่มออกจากจุดปล่อยตัว (โดนเหยี่ยบเท้าด้วย โกรธ)

  งานวันนี้ก็ถือว่าจัดได้ดี 
- พื้นที่กว้าง เป็นสัดส่วนดีมาก สามารถจัดบู้ทได้เยอะ พื้นที่เพียงพอสำหรับการยืดเส้น เดินไปเดินมา
- จำนวนนักวิ่งเยอะพอสมควร  แต่ก็สามารถวิ่งได้คล่องตัว เพราะถนนมีขนาดกว้าง 
- การจัดการเรื่องรถยนต์ทำได้ดี เพราะสาถานที่แทบจะเป็นสถานที่ปิด นับจำนวนรถที่วิ่งได้เลยทีเดียว
- เส้นทางวิ่ง กว้างขวาง เป็นถนนขนาดสี่เลนขึ้นไป สภาพพื้นเป็นคอนกรีตซะส่วนใหญ่ นักวิ่งส่วนใหญ่จะบ่นเพราะพื้นคอนกรีตเป็นพื้นที่นักวิ่งส่วนใหญ่พยายามหลีกเลี่ยง ส่วนนักวิ่งเท้าเปล่าอย่างเรา ก็คงมีปัญหาแค่เรื่องเศษกรวดเล็กๆที่มีให้ได้เหยียบกันเป็นเป็นระยะ กลับมาบ้านล้างเท้าถึงกับอึ้งเพราะมีรอยช้ำๆแดงๆเป็นจำๆบ้าง แต่ก็ไม่ได้เจ็บอะไรมาก
- จุดให้น้ำมีเป็นช่วงๆห่างกันสองกิโลเมตร มีให้ไม่ขาด อาจจะเนื่องมากจากคนไม่เยอะมาก
- ที่จอดรถ เรื่องนี้ถ้าไม่พูดเลยก็คงไม่ได้สำหรับการเดินไปร่วมงาน ในงานนี้มีอาคารจอดรถไว้ให้ผู้ร่วมงานเพียงพอ จอดง่ายมากครับ
- ค่าสมัคร เสื้อและของที่ระลึก กับค่าสมัครที่เสียไปเพียงสองร้อยเท้านั่น คุ้มมากๆครับ

      โดยรวมถือว่าดีมากครับ ถ้าให้คะแนนก็ 8/10 ครับ 
สำหรับผมแล้วววันนี้เป็นวันที่สนุกวันนึง อากาศดีๆ ลมเย็นๆ แดดไม่ร้อน มีเพื่อนๆร่วมวิ่งร่วมคุยสนุกสนานมาก สุดท้ายก็ต้องขอขอบคุณสำหรับกิจกรรมดีๆสำหรับนำวิ่งครับ กรมบัญชีกลาง ขอบคุณครับ


วันพุธที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เทคนิคเบื้องต้น คนเท้าเปล่า

 การวิ่งเท้าเปล่า คล้ายๆกับการนับถือศาสนา ทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี แต่คนดีเหล่านั้นจะยึดถือแนวทางแบบไหนแค่นั้นเอง เทคนิคการวิ่งเท้าเปล่าเองก็มีหลากหลายแนวทาง หลายเทคนิค พื้นฐานส่วนใหญ่ที่เริ่มในไทยมาจากนักวิ่งเท้าเปล่าชาวอเมริกันที่ชื่อ Ken Bob



เทคนิคของการวิ่งเบื้องต้นสำหรับการวิ่งเท้าเปล่า

- การเทตัว ( Lean ) เพื่อให้เกิดการเคลื่อนไหวการถ่ายน้ำหนักไปข้างหน้า เพื่อลดการออกแรงในการก้าวขาไปข้างหน้า ใช้หลักการกลศาสตร์เข้ามาช่วย เหมือนกับลูกหินที่ไหลไปข้างหน้า 
      การเทลำตัวจะต้องตั้งตรง ตั้งแต่สะโพกไปถึงศีรษะ ไหล่ และการแกว่งแขนให้ผ่อนคลาย ไม่ต้องแกว่งและเกร็งมาก การเทตัวถ้านึกภาพไม่ออกให้นึกถึงภาพ ไมเคิล แจ็กสันในเรื่อง Moon Walk นะครับ เสริมอีกหน่อยนะครับ ประโยชน์ของการที่ลำตัวเราตรงจะช่วยเสริมเรื่องการหายใจ เราสามารถหายใจได้เต็มที่มากขึ้น 


- การก้าววิ่งเราจะไม่ใช้การถีบพื้น ( Push ) เพื่อให้เกิดแรงส่งเหมือนคราวที่เรายังสวมรองเท้า เราจะใช้การยกเท้า หรือดึงเท้า ( Pull ) ขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บจากการเสียดสีจนเกิดอาการพอง


เครดิตภาพ เวปชัตเตอร์รันนิ่ง

- การลงเท้าให้ลงด้วย Ball Of Foot ( BOF ) แล้วถ่ายน้ำหนักลงส้นเท้า การลงน้ำหนักที่ส้นไม่จำเป็นต้องทิ้งน้ำหนักลงไปจนรู้สึกลงเต็มเท้า อาจจะลงไปแค่แตะเบาๆเพื่อประคองน้ำหนักหรือการทรงตัวแค่นั้นก็พอ  ลงตามหมายเลขลำดับในภาพ คือ 1 2 3

    *** Ball Of Foot คือส่วนที่เป็นสีแดงหมายเลข 1 ตามภาพ เป็นส่วนของด้านหน้าเท้า ที่มีจำนวนชิ้นกระดูกจำนวนหลายชิ้นเชื่อมต่อกันอยู่ สามารถกระจายแรงกระแทกได้ดีกว่าการลงด้วยส้นที่เป็นกระดูกชิ้นโต ***


                             



- การย่อเข่า สำคัญมากๆสำหรับการลงน้ำหนักตัว ตอนนี้เราไม่มีรองเท้าเพื่อรองรับแรงกระแทก ภาระจึงต้องกับเท้า ข้อเท้า และขา ดังนั้นเราต้องทำการเปลี่ยนขาเราให้เป็นดั่งโช้คอัพ โดยการย่อเข่าให้มากเท่าที่ทำได้ 


  เบื้องต้นท่าทางการวิ่งก็จะมีประมาณนี้ครับ หลักการสังเกตุเบื้องต้นว่าเราวิ่งถูกต้องหรือไม่ สังเกตได้จากความรู้สึก ให้จับความรู้สึกว่า เราวิ่งเหมือนเราจะหกล้มตลอดเวลา วิ่งๆเหมือนหน้าทิ่มครับ ตำแหน่งการลงเท้าถ้ามองจากด้านข้าง จะเห็นว่าเราจะไม่เกินหน้าอกของเราครับ มีกล้องวีดีโอหรือมือถือก็ลองอัดคลิปด้านข้างไว้แล้วปรับท่าทางการวิ่งไปเรื่อยๆจะดีที่สุดครับ ^_^




หาเพื่อนหรือศึกษาเรื่องวิ่งเท้าเปล่าได้ที่นี่เลย เพจ รองเท้าหาย https://www.facebook.com/groups/434131260027540/ 

เพจให้ความรู้เรื่องวิ่งตีนเปล่าโดยแอดมินสุดหล่อ

เพจวิ่งเท้าเปล่าอีกเวปนึงที่มีมีทติ้ง สอนวิ่งกันทุกเดือน












วันอังคารที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556

บันทึกเริ่มต้น คนเท้าเปล่า ตอนที่ 2


  หลังจากที่ได้คุยกับพี่ถึงอาการบาดเจ็บ ว่าการวิ่งเท้าเปล่าสามารถช่วยเรื่องของอาการบาดเจ็บจากการวิ่งได้ และแนะนำอีกว่าจะมีการสอนวิ่งเท้าเปล่าจากนักวิ่งชาวญี่ปุ่น จากเพจนักวิ่งเท้าเปล่า Bangkok Barefoot Run Club ( BBRC )  ผมก็เริ่มสนใจและกะจะไปลองศึกษาการวิ่งแบบนี้ดู



  มีทติ้งของกลุ่ม BBRC จะจัดเดือนละครั้งแล้วแต่ว่าจะจัดที่ไหน หลังๆจะจัดทุกเช้าที่สวนลุมพินี การไปเรียนครั้งแรก รู้สึกตื่นเต้น เพราะคนสอนเป็นชาวญี่ปุ่น จะบรรยายเป็นภาษาอังกฤษ แต่มีการแปลเป็นไทยโดยทีมงานที่เป็นคนไทย ใครสนใจไปฟังไปศึกษาได้เลยนะครับ ไม่มีค่าใช้จ่ายครับ   การเดินทางด้วยรองเท้าของผมใกล้จบลงแล้ว ตอนหน้าจะเป็นเรื่องของเทคนิคการวิ่งเท้าเปล่าครับ




บันทึกเริ่มต้น คนเท้าเปล่า ตอนที่ 1



   เท้าเปล่ากับการวิ่ง เหตุใดต้องวิ่งเท้าเปล่า หลายคนคงจะสงสัยกับคำถามนี้ คำถามที่เกิดขึ้นทุกครั้งหลังที่ได้เห็นนักวิ่งเหล่านี้วิ่งผ่านเข้ามาในสายตา
   ก่อนอื่นเลยก็อยากจะบอกว่าผมก็เป็นนักวิ่งที่ถือว่าเป็นนักวิ่งที่ประสบการณ์ยังไม่มากพอ เป็นแค่กบที่โดดไปโดดมาอยู่ใต้กะลาใบน้อย  BiB, Pace, Overpronation  คืออะไรไม่เคยรู้ เคยเป็นนักวิ่งมือใหม่ที่คิดว่าถ้าเลือกซื้อรองเท้าก็ควรจะเลือกฺแบรนด์นี้ เพราะเค้าออกแบบมาสวย สีโดนใจ มีการรองรับแรงกระแทกได้ดี โฆษณาเท่ห์ เริ่มต้นออกหาซื้อรองเท้าด้วยความชอบในแบรนด์เป็นส่วนตัว เนื่องจากใช้แบรนด์นี้มาตั้งแต่เด็กๆ ถ้าเดาก็คงจะเดาไม่ยาก ผมเริ่มต้นวิ่งด้วย Nike

 เห็นแล้ว โอ้วว ช่ายเลย สวยดีอยากได้คู่นี้ แล้วก็ลองใส่ดู จากนั้นก็ตัดสินใจซื้อโดยไม่ยาก ระยะของการวิ่งเริ่มจาก Nike  การวิ่งก็เป็นเหมือนนักวิ่งทั่วไป เป็นนักวิ่ง Heel Strike (ลงด้วยส้นเท้าก่อน) รองเท้านุ่มดีมาก ระยะวิ่งต่อวันเฉลี่ย 5 กิโล คู่นี้ใช้ไปได้สักสามสี่เดือน พื้นก็เริ่มยุบเล็กน้อย เนื่องจากน้ำหนักตัวค่อนข้างเยอะก็เริ่มหารองเท้าคู่ใหม่
  คู่ต่อไปจะเป็นอะไรดีนะ การซื้อคู่ถัดไปก็ยังคงซื้อจากความรู้สึกอีกเช่นเคย มีความรู้เพิ่มมากเล็กน้อย ได้จากพนักงานขายที่ขายให้เรานั่นเองงงง

  คู่ถัดไปก็ ขอย้ายค่ายเพื่อทดสอบความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองและทดสอบราคาคุยของพนักงานขายรองเท้าหน่อย  แทมๆๆ แท่มมมม  "Brooks Ghost 3"


รองเท้า Brooks ที่แตกต่างจ่าง Nike คือความกว้างของหน้าเท้าครับ ความนุ่มอาจจะเป็นรอง Nike นิดหน่อยครับ โดยรวมก็ใส่สบายครับ ความอยากรู้ยังคงไม่หยุด อยากรู้อยากพิสูจน์ความเทพของรองเท้าที่ขึ้นชื่อมากสำหรับนักวิ่ง Asics ตระกูลที่เป็นรองเท้าซัพพอร์ทรุ่นเกือบสูงสุด Kayano เลยให้น้องส่ง Kayano 17 มาจากอเมริกา หลังจากที่รอคอยการเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาพักใหญ่

   Kayano 17 สมกับเป็นรองเท้าที่มีซัพพอร์ทเยอะมากๆ ทั้งส่วนที่เป็นส้น ด้านข้างเท้า พนักงานขายบางคนถึงกับเรียกว่า รองเท้าเจล น้ำหนักของรองเท้าก็เลยมีน้ำหนักที่มาก เหมาะกับการวิ่งแบบ Heel Strike โดยกำเนิดเลยทีเดียว หากนักวิ่ง Forefoot มาใส่คงบ่นไม่มีชั้นดีเลยทีเดียว
 
  ความรู้สึกที่ได้วิ่งด้วย Kayano 17 ส่วนของความนุ่ม ผมกลับไม่รู้สึกดีเหมือน Nike ความกว้างหน้าเท้า Brooks ใส่ดีกว่า เวลาวิ่งเหมือนวิ่งด้วยรองเท้าส้นตึกขนาดสูง เหมือนพร้อมเท้าจะพลิกหากลงมุมที่ผิดพลาดไป ความรู้สึกส่วนตัวผมกลับชอบ Brooks มากที่สุด ในความสบายของการวิ่ง

   หลังจากที่ได้ลองรองเท้ามาทั้งสามคู่ ก็เกิดคำถามขึ้นในใจว่า
- รองเท้าแพง ก็ใช่ว่าจะให้ความสบายในการวิ่งได้กับทุกๆคน ถึงแม้ราคาของ Kayano แพงเกือบถึงหลักหมื่น แต่จะมีนักวิ่งกี่คนที่จะสามารถควักเงินเพื่อมาจ่ายกับรองเท้าราคาขนาดนี้ นักวิ่งต้องหมดกับค่ารองเท้าไปมากขนาดไหน ถึงจะหารองเท้าที่ตอบโจทก์ใจเราได้มากที่สุด
- รองเท้าแต่ละคู่แต่ละยี่ห้อเองก็มีการออกแบบที่แตกต่างกันไป ความแตกต่างด้านความสูงของส้น เทคโนโลยีการเพิ่มความนุ่มของพื้น  ความกว้างของหน้าเท้า รองเท้าแต่ละคู่แต่ละยี่ห้อก็ให้ความรู้สึกแตกต่างกันไป แต่รองเท้าแบบไหนล่ะที่จะเข้ากับเราได้มากที่สุด ไม่ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บ และถ้าเราได้เจอว่ารองเท้าคู่นี้เหมาะกับเรามากที่สุดแล้วเราจะสามารถเปลี่ยนไปใช้ยี่ห้ออื่นได้มั้ย

คำถามเหล่านี้ก็ถูกเก็บไว้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แต่การวิ่งของผมเองก็ยังคงดำเนินต่อไป รองเท้าคู่ต่อมาของผมก็ตกมาเป็นภาระหน้าที่ของ Brooks Ghost 4 เรื่อยมาจนวันนึงได้คุยกับพี่ในกลุ่มวิ่ง ที่ได้รับบาดเจ็บจากการวิ่ง เจ็บเข่าจนต้องลดการวิ่งลงไป มีการพูดคุยกันถึงแนวทางการแก้ไขอาการ ในส่วนหนึ่งมีเรื่องของการวิ่งเท้าเปล่าเข้ามา ผมก็เริ่มสนใจ เพราะเรื่องการวิ่งเท้าเปล่านี้เหมือนจะกลายเป็นคำตอบที่สามารถตอบคำถามที่เคยมีอยู่ในใจ คำถามนี้กำลังจะได้จางหายไปจากใจผมแล้ววว